ผ้ามัดย้อม
- ประวัติความเป็นมาของการทำผ้ามัดย้อม
- การฝึกหัดมัดย้อมบนเนื้อผ้าได้เคยทำกันมาเกือบทุกส่วนของโลก ประวัติการทำผ้ามัดย้อมได้เริ่มต้นทำกันมาแล้วในสมัยเอเชียโบราณแผ่ขยายไปยังตอนกลางของทวีปอินเดียไปยังมาเลเซีย และข้ามไปยังแอฟริกา การทอผ้าที่มีมาแต่โบราณนอกจากจะขุดพบในสมัยจีนโบราณแล้ว ยังมาจากพวกคาราวานในสมัยก่อนรวมทั้งที่มาของการทำไหมก็เริ่มในยุคนี้ด้วย
- ในทวีปอเมริกาเริ่มการมัดย้อมจากชาวโคลัมเบียในยุคแรก เพื่อการทำวงกลม และสี่เหลี่ยม ด้วยแบบสีง่าย ๆ เป็นที่นิยมในเม็กซิโก กัวเตมาลา เปรูเดลิเวีย ปาลาไว และอาเจนตินา ในอเมริกาใต้และชาวอินเดียแดง
- การทำผ้ามัดย้อมอาจได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นในตอนต้นสมัยของประเทศอินเดียก่อนที่จะมาถึงประเทศญี่ปุ่น เสื้อผ้าของคนทั่วไปแสดงให้เห็นถึงการเขียนภาพสีน้ำบนผนังและเพดานถ้ำที่ อจันตาเป็นแบบวงกลมสีขาวคล้ายกับจะทำให้เห็นเป็นเหมือนการทำหางวงกลม ซึ่งเป็นที่รู้จักในอินเดียว่าปรังใจ
- ผ้ามัดย้อมที่มีในประเทศไทยและกัมพูชานั้นเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าการมัดย้อมเริ่มต้นมาจากสองประเทศนี้แพร่หลายเข้าไปยังประเทศอินโดนีเซีย วิธีการมัดย้อมยังนำไปใช้ในการตกแต่งผ้าไหมชั้นดีเพื่อใช้ทำผ้าคลุมไหล่ สไบ และโสร่ง สำหรับชายหญิงของชาวชวาและบาหลี
- การมัดย้อมในแต่ละประเทศแสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่แตกต่างกันและลักษณะการใช้สีซึ่งผู้ผลิตสามารถวางแนวทางและรูปแบบของผ้าเพื่อผลิตออกไปทั่วโลก ในระยะเวลาที่แตกต่างกันตามรูปแบบของวัฒนธรรม (ยุพินศรี สายทอง . ๒๕๔๔ : ๑๑ -๑ ๕)
- หลักการสำคัญในการทำผ้ามัดย้อม
- หลักการสำคัญในการทำผ้ามัดย้อม คือ ส่วนที่ถูกมัดคือส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสี ส่วนที่เหลือหรือส่วนที่ไม่ได้มัดคือส่อนที่ต้องการให้สีติด การมัดเป็นการกันสสีนั่นเอง ลักษณะของการมัดมีดังนี้
- ๑. ความแน่นหนาของการมัด
- กรณีแรกมัดมากจนเกินไปจนไม่เหลือพื้นที่สีแทรกซึมเข้าไปได้เลย ผลที่ได้ก็คือได้สีขาวของเนื้อผ้าเดิม อาจมีสีย้อมแทรกซึมเข้ามาได้เล็กน้อยอย่างนี้เกิดลายน้อย
- กรณีที่สองมัดน้อยเกินไปเหลือพื้นที่ให้สีย้อมติดเกือบเต็มผืน อย่างนี้เกิดลายน้อยเช่นกัน ทั้งผืนมีสีย้อมแต่แทบไม่มีลาย
- กรณีที่สามมัดเหมือนกันแต่มัดไม่แน่นอย่างนี้เท่ากับไม่ได้มัด เพราะหากมัดไม่แน่นสีก็จะแทรกซึมผ่านเข้าไปได้ทั้งผืน
- ๒. การใช้อุปกรณ์ช่วยในการหนีบผ้าแล้วมัดเพื่อให้เกิดความแน่น และเกิดลวดลายตามแม่แบบที่ใช้หนีบ ดังนั้นลายสวยเพยงใดขึ้นอยู่กับการออกแบบที่จะใช้หนีบด้วย
- ๓. ความสม่ำเสมอของสีย้อม สีย้อมที่ติดผ้าจะสม่ำเสมอได้ขึ้นอยู่กับอูณหภูมิความร้อนขณะนำผ้าลงย้อม และการกลับผ้าไปมาการขย่ำผ้าเกือบตลอดเวลาของการย้อมหนึ่งชั่วโมงครึ่งก่อนที่จะแช่ผ้าไว้ (“วิธีการทำผ้ามัดย้อม” : ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒)
- หลักการทฤษฎี
หลักการสำคัญในการทำผ้ามัดย้อม
หลักการสำคัญในการทำผ้ามัดย้อม คือ ส่วนที่ถูกมัดคือส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสี ส่วนที่เหลือหรือส่วนที่ไม่ได้มัดคือส่อนที่ต้องการให้สีติด การมัดเป็นการกันสีนั่นเอง ลักษณะของการมัดมีดังนี้
๑. ความแน่นหนาของการมัด กรณีแรกมัดมากจนเกินไปจนไม่เหลือพื้นที่สีแทรกซึมเข้าไปได้เลย ผลที่ได้ก็คือได้สีขาวของเนื้อผ้าเดิม อาจมีสีย้อมแทรกซึมเข้ามาได้เล็กน้อยอย่างนี้เกิดลายน้อย
กรณีที่สองมัดน้อยเกินไปเหลือพื้นที่ให้สีย้อมติดเกือบเต็มผืน อย่างนี้เกิดลายน้อยเช่นกัน ทั้งผืนมีสีย้อมแต่แทบไม่มีลาย
กรณีที่สามมัดเหมือนกันแต่มัดไม่แน่นอย่างนี้เท่ากับไม่ได้มัด เพราะหากมัดไม่แน่นสีก็จะแทรกซึมผ่านเข้าไปได้ทั้งผืน
๒. การใช้อุปกรณ์ช่วยในการหนีบผ้าแล้วมัดเพื่อให้เกิดความแน่น และเกิดลวดลายตามแม่แบบที่ใช้หนีบ ดังนั้นลายสวยเพยงใดขึ้นอยู่กับการออกแบบที่จะใช้หนีบด้วย
๓. ความสม่ำเสมอของสีย้อม สีย้อมที่ติดผ้าจะสม่ำเสมอได้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิความร้อนขณะนำผ้าลงย้อม และการกลับผ้าไปมาการขย่ำผ้าเกือบตลอดเวลาของการย้อมหนึ่งชั่วโมงครึ่งก่อนที่จะแช่ผ้าไว้
- แนวคิดความเป็นมาและความสำคัญ
องค์ความรู้เกี่ยวกับศิลปะการนำผ้ามาย้อมด้วยสีที่ได้จากธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งแปลก หรือพึ่งจะค้นพบนวัตกรรมใหม่แต่อย่างใด แต่ความรู้ภูมิปัญญาดังกล่าวได้ถูกค้นพบ ปฏิบัติและถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ดังจะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าพร้อมสาวกทั้งหลายก็ใช้ผ้าบังสุกุลสีขาวที่ใช้สำหรับห่อศพมาซักแล้วก็ย้อมด้วยสีธรรมชาติเพื่อเป็นผ้าจีวรนุ่งห่มเหมือนกัน ดังนั้น ผู้เขียนเห็นว่าภูมิปัญญาการเอาผ้าแล้วมาย้อมด้วยสีธรรมชาติไม่ใช่ภูมิปัญญาชาวของบ้านธรรมดาๆ แต่เป็นภูมิปัญญาที่มาจากแนวคิดของพระพุทธเจ้า ซึ่งการเรียนรู้และปฏิบัติกิจกรรมดังกล่าวเหมือนกับเราได้เรียนรู้และปฏิบัติธรรมะไปด้วย เช่น เราจะได้สมาธิจากการดึงปมชายผ้า หรือการพึงพาธรรมชาติและพึ่งพาตัวเอง หรือการไม่ตามกระแสของสังคมที่ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น
การทำผ้ามัดย้อมใช้เอง เป็นความภาคภูมิใจของคนทำและคนที่จะสวมใส่ ด้วย เพราะผลงานชิ้นดังกล่าวเป็นศิลปะหนึ่งเดียวในโลกที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน(รับรองได้) โดยมีเราเป็นศิลปินเอก ที่สำคัญสีที่ได้จากธรรมชาติจะมีคุณสมบัติในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บไปในตัวด้วย เช่น ผ้าย้อมคราม ย้อมฝางแดง เป็นต้น
แต่ในปัจจุบันศิลปะดังกล่าวกำลังลดหายไปจากสังคม และถูกมองอย่างไร้คุณค่า เพราะว่ากระแสแฟชั่นสมัยใหม่มาแรง แซงตลอด หาซื้อได้ง่าย และตอบสนองความต้องการได้อย่างรวดเร็ว ทันใจ ในทุกรูปแบบ
เพราะฉะนั้น กิจกรรมดังกล่าวยังรอพวกเราเหล่าศิลปินที่จะสืบสานอุดมการณ์ และศิลปะร่วมสมัย ให้คงอยู่คู่ชุมชนตลอดไป ชั่วกาลนาน
วัสดุอุปกรณ์ในการทำผ้ามัดย้อม
การย้อมด้วยสีย้อมธรรมชาติให้ได้ผลดีนั้นต้องการความใส่ใจในแต่ละขั้นตอน ควรมีความสม่ำเสมอและความแน่นอนที่สามารถทำซ้ำได้หากเป็นได้ควรนำวิธีการชั่ง ตวง วัด ด้วยอุปกรณ์เครื่องมือที่มีขายในท้องตลาดเข้ามาช่วย ดังเช่น ใช้เครื่องชั่งแบบจานที่ใช้งานซื้อขายตามท้องตลาด ชุดหรืออุปกรณ์ตวงที่เป็นแก้ว/พลาสติก เป็นต้น และการทำงานต่าง ๆ ควรมีการจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร โดยเฉพาะการทดลองย้อมและการพัฒนาใหม่ ๆ
วัสดุ สารเคมีและมอร์แดนท์
๑. ด้ายฝ้าย
สูตร ส่วนผสม และวีการในที่นี้ใช้ด้ายฝ้ายดรงงานเบอร์ ๑๐ (หรือ ๑๐/๑ หรือ๑๐/๑/๑๒ขึ้นอยู่กับสลากปิดห่อด้าย) เป็นหลัก ถ้าใช้ด้ายชนิดอื่น เช่น
- ด้ายฝ้ายดรงงานเบอร์ ๔๐/๒ (ด้ายเกลียวาคู่ โดยนำด้ายเหนียวเส้นเล็กเบอร์ ๔๐ สองเส้นมาพันกันเป็นเกลียว)
- ด้ายปั่นมือ (ภาษาท้องถิ่นเรียก “ด้ายเมือง”)
ให้เทียบน้ำหนักเองโดยมีเกณฑ์การเทียบน้ำหนัก ตามน้ำหนักของเส้นด้ายที่ขดเป็นวง (เส้นผ่าศูนย์กาลางประมาณ ๕๐ เซนติเมตร) ผูกมัดรวมกันไว้เรียกว่าบ่วง
-ด้ายฝ้ายเบอร์ ๑๐/๑ ๑ บ่างมีน้ำหนัก ๗๐ – ๗๕ กรัม (ด้ายฝ้ายดรงงานเบอร์ ๑๐/๑ ที่ใช้นี้เป็นแบบ ๑ ลูก มี ๑๒ หัว แต่ละหัวมี ๕ บ่วง ผูกรวมกันอยู่)
- ด้ายฝ้ายเบอร์ ๔๐/๒ ๑บ่วง มีน้ำหนัก ๙๐ กรัม
- ด้ายปั่นมือ ๑ บ่วง มีน้ำหนัก ๘๐ – ๑๐๐กรัม
- ด้ายฝ้ายปกติมีจำหน่ายตามร้านขายเส้นด้ายย้อมสีด้ายไหมพรม และผ้าทอพื้นเมือง (บางแห่ง)
๒. สบู่
สบู่สำหรับทำความสะอาดเส้นด้ายก่อนการย้อมควรเลือกใช้สบู่ก้อนที่ไม่มีน้ำหอม สารเพิ่มความขาว สารบำรุงผิว หรือสารปรุงแต่งอื่น ๆ ในที่นี้เลือกใช้สบู่ซันไลต์ ซึ่งเป็นสบู่ก้อนก่อนการใช้งานควรจะขูดให้เป็นเกล็ด หรือหั้นฝอย เพื่อช่วยให้ละลายง่าย
๓. มอร์แดนท์และสารอื่น
มอร์แดนท์ที่ใช้เป็นเกล็ดการค้าทั้งหมดเนื่องจากจะมีราคาถูก และมีคุณภาพเหมาะกับงานบางแห่งอาจใช้คำว่าเกรดอุตสาหกรรมเนื่องจากระดับของความบริสุทธิ์ ราคา และปริมาณการซื้อขาย โดยทั่วไปสารมอร์แดนท์ต่อไปนี้หาซื้อได้จากร้านค้าสารเคมีทางวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ หรือที่ขายให้โรงงานอุตสาหกรรม ปกติจะได้สินค้าภายใน ๑ – ๒ วัน สารมอร์แดนท์ที่ใช้ในงานนี้มีดังนี้
- สารส้ม (มอร์แดนท์อลูมิเนียม) สารส้มป่นเกรดการค้า (หรือ ดปแตสอลัม)
- จุนสี (มอร์แดนท์ทองแดง) จุนสีเกรดการค้า
- เฟอร์รัสซัลเฟต (มอร์แดนท์เหล็ก) เฟอร์รัสซัลเฟตเกรดการค้า
-โซดาแอช ใช้ทำความสะอาดด้ายโซดาแอชการค้า (หรือ โซเดียมคาร์บอเนต)

